DSK Clinic I The Customized Aesthetic Clinic
outro-ulthera (2)
banner-article-sidebar

บีบสิวดีไหม ควรรักษายังไงไม่ให้สิวอักเสบรุนแรงและทิ้งรอยหลุมสิวกวนใจ

DSK Editorial team
บทความโดย
DSK Editorial team
พฤษภาคม 11, 2025

สิว (Acne) เป็นปัญหาผิวที่หลายคนต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ เมื่อเกิดสิวขึ้นมา สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงคือการบีบหรือกดสิว แต่คุณเคยสงสัยไหมว่าการบีบสิวนั้นดีจริงหรือไม่? หลายคนเชื่อว่าการบีบสิวจะช่วยกำจัดสิวได้เร็วขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การบีบสิวอาจส่งผลเสียต่อผิวมากกว่าที่คิด ทั้งการเกิดการอักเสบซ้ำ รอยแดง รอยดำ และรอยหลุมสิวที่มักตามมา บทความนี้หมอจะพาคุณไปรู้จักกับวิธีการจัดการสิวอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาสิวอักเสบรุนแรงและรอยหลุมสิวที่ยากต่อการรักษา

เมื่อไหร่ที่เราควรบีบสิว?

เมื่อไหร่ที่เราควรบีบสิว

ในแง่ของแพทย์ผิวหนัง หมอไม่แนะนำให้บีบหรือกดสิวด้วยตัวเองเลยครับ เพราะการบีบสิวเองอาจเป็นการเพิ่มโอกาสให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อเราบีบสิว เรากำลังทำให้เนื้อเยื่อโดยรอบเกิดความเสียหาย ในขณะเดียวกัน แบคทีเรียและสิ่งสกปรกจากมือของเราอาจเข้าไปสู่บริเวณที่เกิดสิวและทำให้การอักเสบลุกลาม ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อที่รุนแรงมากขึ้น

ถ้าคุณมีสิวหัวหนองที่เริ่มปวดหรืออักเสบมาก แทนที่จะบีบด้วยตัวเอง วิธีที่ดีกว่าคือการไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การฉีดสเตียรอยด์เฉพาะที่ (Intralesional steroid injection) ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบได้อย่างรวดเร็ว หรือการเจาะระบายหนองโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะทำภายใต้เทคนิคที่ปลอดเชื้อและถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นและรอยหลุมสิวในภายหลัง

ขั้นตอนการบีบสิว หรือกดสิวที่ถูกต้อง

หากคุณยังยืนยันที่จะบีบสิวด้วยตัวเอง (ซึ่งหมอไม่แนะนำนะครับ) แต่หากเป็นกรณีจำเป็นจริงๆ ควรทำอย่างระมัดระวังตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยง

  • ล้างมือให้สะอาด : ล้างมือด้วยสบู่ฆ่าเชื้อและน้ำอุ่นก่อนสัมผัสผิวหน้า เพื่อลดการปนเปื้อนของแบคทีเรียจากมือ
  • เลือกสิวให้ถูกประเภท : บีบเฉพาะสิวหัวขาวหรือสิวหัวดำที่มีหัวพร้อมออกมาเท่านั้น ไม่ควรบีบสิวตุ่มแดง สิวอักเสบ หรือสิวหัวช้างเด็ดขาด
  • เตรียมเครื่องมือที่สะอาด : ใช้เข็มปลอดเชื้อหรือที่กดสิวที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว ไม่ควรใช้เล็บหรือนิ้วโดยตรง

ข้อควรระวังในการบีบสิว

การบีบสิวมีความเสี่ยงสูงที่จะก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย ควรระวังประเด็นต่อไปนี้

  • อาจทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง : การบีบสิวที่ไม่ถูกวิธีจะทำให้แบคทีเรียและเชื้อโรคแพร่กระจายลงไปในชั้นผิวที่ลึกขึ้น
  • เพิ่มโอกาสเกิดรอยแผลเป็น : แรงกดจากการบีบสิวอาจทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบและนำไปสู่การเกิดรอยหลุมสิวถาวรได้
  • เสี่ยงต่อการติดเชื้อ : หากมือหรืออุปกรณ์ไม่สะอาด อาจนำเชื้อโรคเข้าสู่ผิวหนังและทำให้เกิดการติดเชื้อ
  • ทำให้สิวลุกลาม : การบีบสิวอาจทำให้เกิดสิวใหม่ในบริเวณใกล้เคียงเนื่องจากการกระจายของแบคทีเรีย
  • เพิ่มระยะเวลาในการหาย : สิวที่ถูกบีบจะใช้เวลาในการหายนานกว่าสิวที่ปล่อยให้หายเองตามธรรมชาติ

แนะนำวิธีรักษาสิวอย่างเหมาะสม เผยผิวใส ไม่มีปัญหาสิวกวนใจ

วิธีรักษาสิวอย่างเหมาะสม

แทนที่จะเสี่ยงกับการบีบสิว มาดูวิธีการจัดการกับสิวอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพกันดีกว่า การรักษาสิวที่เหมาะสมจะช่วยลดการอักเสบ ป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น และช่วยให้ผิวกลับมาเรียบเนียนสวยใสอีกครั้ง ต่อไปนี้คือวิธีที่หมอแนะนำ

1. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว

การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา การลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดสิวจะช่วยให้ปัญหาสิวลดลงได้อย่างมาก เริ่มจากการดูแลผิวหน้าให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยนและเหมาะกับสภาพผิว หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันซึ่งอาจอุดตันรูขุมขน

นอกจากนี้ ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร ลดอาหารที่มีไขมันสูง อาหารรสจัด และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาก หันมารับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงผิว ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และหาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียดซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเกิดสิว การออกกำลังกายสม่ำเสมอยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและระบบน้ำเหลือง ทำให้ระบบขับสารพิษในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

2. ปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร เพื่อรับยารักษาสิวที่เหมาะสมกับตนเอง

การรักษาสิวด้วยตัวเองโดยไม่มีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอาจไม่ได้ผลหรือกลับทำให้อาการแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือเภสัชกรเพื่อรับคำแนะนำและยารักษาสิวที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความรุนแรงของสิว ยารักษาสิวมีหลายประเภท เช่น 

  • ยาทาที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide) ซึ่งช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน
  • ยาทาที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ (Retinoids) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่

ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาสั่งยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานหรือทาเฉพาะที่ เพื่อลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับเปลี่ยนแผนการรักษาให้เหมาะสมกับการตอบสนองของผิว

3. ฉีดยารักษาสิวในกรณีที่สิวอักเสบมาก

สำหรับสิวอักเสบขนาดใหญ่ เช่น สิวหัวช้าง หรือสิวซีสต์ที่มีอาการปวด บวม แดง การฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่ (Intralesional corticosteroid injection) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษา การฉีดยาสเตียรอยด์จะช่วยลดการอักเสบได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สิวยุบตัวลงภายใน 24-48 ชั่วโมง และลดความเสี่ยงของการเกิดรอยหลุมสิวตามมา

หัตถการนี้ต้องทำโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น โดยแพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดยาสเตียรอยด์ความเข้มข้นต่ำเข้าไปโดยตรงที่ตุ่มสิว หลังการฉีดอาจมีอาการปวดเล็กน้อย แต่ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถกลับไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ

4. เข้ารับการกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ

หากจำเป็นต้องกำจัดสิวอุดตัน เช่น สิวหัวดำ หรือสิวหัวขาว แทนที่จะบีบด้วยตัวเอง การเข้ารับการกดสิวโดยแพทย์ผิวหนัง หรือนักบำบัดผิวที่มีความเชี่ยวชาญจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เทคนิคและเครื่องมือพิเศษในการกดสิวอย่างถูกวิธี ภายใต้สภาวะที่ปลอดเชื้อ ลดความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นและการอักเสบซ้ำ

ขั้นตอนการกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญมักเริ่มจากการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างละเอียด ตามด้วยการใช้ไอน้ำเปิดรูขุมขน จากนั้นจะใช้เครื่องมือพิเศษในการกดสิวออกมาอย่างนุ่มนวล และปิดท้ายด้วยการฆ่าเชื้อและการบำรุงผิวเพื่อลดการอักเสบ การรักษานี้ไม่เพียงแต่ช่วยกำจัดสิวที่มีอยู่แล้ว แต่ยังช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่อีกด้วย

5. ฉายแสง LED เพื่อลดการอักเสบและฆ่าเชื้อสิว

ฉายแสง LED เพื่อลดการอักเสบและฆ่าเชื้อสิว

การบำบัดด้วยแสง LED (Light Emitting Diode Therapy) เป็นอีกทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสิว โดยเฉพาะแสง LED สีน้ำเงิน และสีแดง ซึ่งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P. acnes ที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว นอกจากนี้ แสง LED สีแดงยังช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย

การรักษาด้วยแสง LED มีข้อดีคือไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด ไม่มีผลข้างเคียง และไม่ต้องพักฟื้น สามารถทำได้ทั้งที่คลินิกความงามหรือใช้อุปกรณ์สำหรับใช้ที่บ้าน (แต่ประสิทธิภาพอาจต่างกัน) โดยทั่วไป ควรทำการรักษาสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ติดต่อกัน 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน การรักษานี้เหมาะสำหรับสิวอักเสบระดับเล็กน้องถึงปานกลาง และสามารถใช้ร่วมกับวิธีการรักษาอื่นๆ ได้

DSK รักษาสิวและรอยสิวอย่างเห็นผล ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย

ที่ DSK Clinic เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม พร้อมให้การดูแลปัญหาสิวแบบครบวงจร ตั้งแต่การวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดสิว การวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล และการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยในการรักษาสิวและรอยสิว

เรามีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่หลากหลาย ทั้งการวิเคราะห์สาเหตุของสิวโดยแพทย์ผิวหนัง การจ่ายยารักษาสิวตามสาเหตุ การฉายแสง LLLT (HealiteII)  การกดสิว รวมถึงเลเซอร์กลุ่ม Pico Laser ที่ช่วยลดรอยดำรอยแดงจากสิว และเทคโนโลยี RF Microneedling ที่ช่วยปรับโครงสร้างผิวให้เรียบเนียนขึ้น 

ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาสิวในระดับใด DSK Clinic พร้อมดูแลและให้คำปรึกษาเพื่อให้คุณกลับมามีผิวที่สวยใส ปราศจากสิวและรอยสิวที่น่ากวนใจ ติดต่อเราเพื่อรับการปรึกษาและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณได้แล้ววันนี้

จองคิวปรึกษาแพทย์ DSK Clinic

banner-view-promotion-mobile

วิดีโอเรื่องที่ควรรู้

mock-cover-video-1
เตือนภัย! แฉกลโกงคลินิกเสริมความงาม
ไม่อยากโดนหลอก ต้องดู!

อ่านบทความจากหมอ

banner-consultation-mobile-2x
bg-bt-contact-1-2x
ปรึกษาปัญหาผิวหน้า
ทักแชท Facebook ฟรี
bg-bt-contact-2-2x
แอดไลน์คลินิค
จองคิวทำนัด
bg-bt-contact-3-2x
ติดต่อสอบถาม
โทรเลย
bg-bt-contact-4-2x
ค้นหาสาขาใกล้ตัว
คลิกดูสาขา