DSK Clinic I The Customized Aesthetic Clinic
outro-ulthera (2)
banner-article-sidebar

เปรียบเทียบยี่ห้อโบท็อกซ์เกาหลี รุ่นไหนผลลัพธ์ดีกว่า คุ้มค่ากว่ากัน?

DSK Editorial team
บทความโดย
DSK Editorial team
พฤศจิกายน 19, 2024
คุณหมอขอสรุป ฉีดโบท็อกซ์เกาหลี รุ่นไหนดี?
  • โบท็อกซ์เกาหลีมีอยู่ด้วยกัน 6 ยี่ห้อหลักๆ คือ Nabota,  Aestox, Neuronox, MBTOX, HUGEL และ BIENOX
  • โบท็อกซ์เกาหลีนิยมฉีดบริเวณกราม กรอบหน้า หน้าผาก ระหว่างคิ้ว ตีนกา ใต้ตา รักแร้ แขน และน่อง ซึ่งควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินจำนวนยูนิตที่เหมาะสมก่อนฉีดด้วย เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
  • เช็กโบท็อกซ์เกาหลีแท้ได้โดยเช็กเลขทะเบียน อย. เอกสารกำกับยา เลข Lot. สังเกตผงยาที่ก้นขวด (ไม่มีน้ำผสม) บางยี่ห้อมี QR Code ให้สแกนตรวจสอบความแท้ได้ หรือติดต่อบริษัทผู้จัดจำหน่ายโดยตรงหากสงสัย
  • DSK Clinic พัฒนาหลักการ Custom Skin Quality ด้วยขั้นตอน Custom Analyze, Custom Planning และ Custom Technique รักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง พร้อมติดตามผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพ

โบท็อกซ์มีหลายยี่ห้อให้เลือก แต่ละยี่ห้อก็มีคุณสมบัติแตกต่างกัน แต่บทความนี้จะเปรียบเทียบยี่ห้อโบท็อกซ์เกาหลีว่าควรเลือกฉีดยี่ห้อไหนดี? รวมถึงยี่ห้ออื่นๆ โดยจะพูดถึงคุณสมบัติ ข้อดี ข้อจำกัด ผลลัพธ์ที่ได้ และระยะเวลาที่ออกฤทธิ์ พร้อมคำแนะนำจำนวนยูนิตที่ควรฉีด 

รวมโบท็อกซ์เกาหลี 6 ยี่ห้อยอดนิยม เลือกใช้ตัวไหนดี

รวมโบท็อกซ์เกาหลี 6 ยี่ห้อยอดนิยม เลือกใช้ตัวไหนดี

ยี่ห้อโบท็อกซ์เกาหลีที่ได้รับความนิยมมีอยู่ด้วยกัน 6 ยี่ห้อหลักๆ ดังนี้

1. Nabota

Nabota โบท็อกซ์เกาหลี ได้รับการยอมรับจาก USFDA (U.S. Food and Drug Administration) ในปี 2018 ด้วยเทคโนโลยีการผลิต HI-PURE Technology ที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ ซึ่งผ่านการวิจัยพัฒนามายาวนานกว่า 30 ปี จึงรับประกันได้ถึงความปลอดภัยและมาตรฐานระดับสากล 

Nabota ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ ทั้งไทย เกาหลี สหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศในยุโรป สำหรับผู้ที่กำลังมองหาโบท็อกซ์เกาหลีคุณภาพดี Nabota เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และราคาที่เข้าถึงได้

คุณสมบัติเด่น

  • ผลิตภัณฑ์มีความบริสุทธิ์สูงถึง 98.7% 
  • ออกฤทธิ์และเห็นผลในระยะสั้น
  • แบรนด์เกาหลีแบรนด์เดียวที่ได้ USFDA
  • อยู่ได้นาน 3-4 เดือน

ข้อจำกัด

  • ด้วยราคาที่ไม่สูง ทำให้ได้รับความนิยมมาก จนมีการนำเข้าของปลอมเพิ่มขึ้น
  • ได้ผลน้อยเรื่องการยกกระชับ 

เหมาะสำหรับ

  • การฉีดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าและการฉีดกราม 

ราคา

  • 50 ยูนิต: ราคาประมาณ 4,000-6,000 บาท
  • 100 ยูนิต: ราคาประมาณ 8,000-12,000 บาท

2. Aestox

Aestox โบท็อกซ์เกาหลี ด้วยมาตรฐานการผลิตที่ได้รับการรับรองจาก KFDA (Korea Food & Drug Administration) จึงการันตีได้ถึงความปลอดภัยในการใช้งาน ทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย 

คุณสมบัติเด่น

  • ผ่านอย. ไทย 
  • ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน 3-4 เดือน
  • เชื่อถือได้ เพราะมีการรับรองมาตรฐาน

ข้อจำกัด

  • มียาปลอมแปลงจำนวนมาก 
  • อาจอยู่สั้นกว่าโบท็อกซ์เกาหลีแบรนด์อื่น 
  • ได้ผลน้อยเรื่องการยกกระชับ 

เหมาะสำหรับ

  • การฉีดลดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าและการฉีดกราม 

ราคา

  • 50 ยูนิต: ราคาประมาณ 4,500-7,000 บาท
  • 100 ยูนิต: ราคาประมาณ 9,000-13,000 บาท

3. Neuronox

Neuronox โบท็อกซ์เกาหลีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ผลิตโดยใช้ Botulinum Toxin Type A สายพันธุ์ Hall A-hyper ซึ่งมีงานวิจัยรองรับถึงประสิทธิภาพในการรักษา และความปลอดภัยในระดับสูง โดยมีคุณภาพใกล้เคียงกับโบท็อกซ์จากสหรัฐอเมริกา ทำให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ

คุณสมบัติเด่น

  • ราคาประหยัด
  • เชื่อถือได้ ได้มาตรฐาน

ข้อจำกัด

  • เป็นแบรนด์ที่มีการปลอมแปลงจำนวนมาก 
  • ระยะเวลาอยู่ได้สั้นกว่าแบรนด์อื่น
  • ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน

เหมาะสำหรับ

  • คนที่ต้องการลดริ้วรอย 
  • คนที่ต้องการลดกล้ามเนื้อกราม

ราคา

  • 50 ยูนิต: ราคาประมาณ 3,500-5,500 บาท
  • 100 ยูนิต: ราคาประมาณ 7,000-11,000 บาท

4. MBTOX

MBTOX โบท็อกซ์เกาหลีที่มีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า ด้วยมาตรฐานการผลิตที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากหลายสถาบัน ทั้ง GMP อย.เกาหลี อย.ไทย และอีก 10 ประเทศทั่วโลก โดยมีบริษัท MNB Thai เป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทย

คุณสมบัติเด่น

  • ราคาไม่สูงมาก

ข้อจำกัด

  • เป็นแบรนด์ใหม่ อาจยังมีการทดลองใช้ไม่มาก 
  • อาจพบของปลอมในตลาด เนื่องจากราคาไม่สูง
  • ได้ผลน้อยเรื่องการยกกระชับ 

เหมาะสำหรับ

  • คนที่ต้องการลดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าและกราม 

ราคา

  • 50 ยูนิต: ราคาประมาณ 4,000-6,000 บาท
  • 100 ยูนิต: ราคาประมาณ 8,000-12,000 บาท

5. BIENOX 

BIENOX โบท็อกซ์เกาหลีเกรดพรีเมียม ที่ผลิตจากสารสกัด Clostridium Botulinum โดดเด่นด้วยนวัตกรรมการผลิตแบบสุญญากาศ กระบวนการผลิตที่ทำให้โบทูลินัมท็อกซินแห้งภายใต้ความดันต่ำและใช้สารออกฤทธิ์จำนวนน้อย ส่งผลให้มีปริมาณผงในขวดน้อยกว่าการผลิตแบบแช่แข็ง แต่กลับได้ความบริสุทธิ์ของโบทูลินัมท็อกซินที่มากกว่า ทำให้ผลิตภัณฑ์มีความคงตัวและเสถียรภาพสูง

ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในการผลิตโบท็อกซ์อเมริกาและเป็นแบรนด์แรกที่นำเข้ามาในประเทศไทย 

คุณสมบัติเด่น

  • ผลิตด้วยนวัตกรรมสุญญากาศแบบเดียวกับโบท็อกซ์อเมริกา

ข้อจำกัด

  • เป็นแบรนด์ใหม่จึงต้องเป้าติดตามผลลัพธ์จากการรักษาจริงต่อไป 
  • ได้ผลน้อยเรื่องการยกกระชับ 

เหมาะสำหรับ

  • การฉีดริ้วรอยและกราม 

ราคา

  • 50 ยูนิต: ราคาประมาณ 6,000-8,500 บาท
  • 100 ยูนิต: ราคาประมาณ 12,000-17,000 บาท
รวม 3 ยี่ห้อโบท็อกซ์สัญชาติอื่นๆ ที่น่าสนใจ

รวม 3 ยี่ห้อโบท็อกซ์สัญชาติอื่นๆ ที่น่าสนใจ 

นอกจากโบท็อกซ์เกาหลี ยังมีโบท็อกซ์สัญชาติอื่นๆ ที่ได้รับความนิยม ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 ยี่ห้อเด่นๆ ดังนี้

1. Dysport

Dysport โบท็อกซ์จากอังกฤษ ที่ได้รับการรับรองจาก USFDA ในปี 2009 มีส่วนประกอบสำคัญคือ Abobotulinumtoxin A ผลิตโดยบริษัท IPSEN BIOPHARM LIMITED และนำเข้าจัดจำหน่ายในประเทศไทยโดยบริษัท กัลเดอร์มา ประเทศไทย จุดเด่นคือมีโครงสร้างโมเลกุลที่เล็กกว่าโบท็อกซ์อเมริกา ส่งผลให้เมื่อฉีดแล้ว สารจะกระจายตัวได้อย่างทั่วถึงในบริเวณกว้าง โดยไม่กระจุกตัวในพื้นที่แคบ

คุณสมบัติเด่น

  • ผลิตภัณฑ์มีความบริสุทธิ์สูง
  • มีโอกาสดื้อยาน้อย
  • การกระจายตัวของยาดี ไม่กระจุกตัว ทำให้หน้าไม่ตึงเกินไป
  • ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
  • มาตรฐานการผลิตระดับสากล ทั้ง USFDA อเมริกา และมาตรฐานทั่วโลก 
  • มีบริการยูนิตต่อ 1 ขวด และปริมาณสารออกฤทธิ์สูงกว่าทุกแบรนด์ 
  • มีงานวิจัยเรื่องการยกกระชับสูงสุด 
  • อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน

ข้อจำกัด

  • ราคาค่อนข้างสูงแต่ได้ผลดี โอกาสดื้อน้อย 

เหมาะสำหรับ

  • คนต้องการลดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า
  • คนต้องการลดกราม 
  • คนต้องการฉีดลิฟต์กรอบหน้า
  • คนต้องการลดริ้วรอยบริเวณกว้าง
  • คนต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

ราคา

  • 50 ยูนิต: ราคาประมาณ 12,000-15,000 บาท
  • 100 ยูนิต: ราคาประมาณ 18,000-25,000 บาท

2. Xeomin

XEOMIN โบท็อกเยอรมันที่มีส่วนประกอบสำคัญคือ Incobotulinum Toxin A ผลิตโดยบริษัท MERZ PHARMA GMBH & CO. KGaA โดดเด่นด้วยการใช้เทคโนโลยี XTRACT Technology ในกระบวนการผลิต ซึ่งช่วยป้องกันการปนเปื้อนของโปรตีน แม้จะมีขนาดโมเลกุลที่เล็กกว่าแบรนด์อื่น แต่ยังคงประสิทธิภาพในการยับยั้งการทำงานของระบบประสาทได้อย่างดีเยี่ยม 

คุณสมบัติเด่น

  • มีความบริสุทธิ์สูงมาก
  • มีโอกาสดื้อยาต่ำที่สุด 
  • ฉีดแทนเคสดื้อโบท็อกซ์อื่นๆ ได้ในบางเคส 
  • ปลอดภัยสูง เพราะไม่มีโปรตีนปนเปื้อน
  • มีโมเลกุลขนาดเล็กกว่าแบรนด์อื่น
  • มาตรฐานการผลิตระดับเยอรมัน
  • อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน

ข้อจำกัด

  • ราคาค่อนข้างสูง
  • ขนาดโมเลกุลเล็ก ต้องใช้ความชำนาญในการฉีด
  • อยู่ได้สั้นกว่า Dysport และ Allergan เล็กน้อย 

เหมาะสำหรับ

  • คนที่มีความกังวลเรื่องการดื้อยา
  • คนต้องการฉีดโบท็อกซ์บ่อยระยะยาว 
  • การฉีดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า
  • การฉีดกระชับกรอบหน้า 

ราคา

  • 50 ยูนิต: ราคาประมาณ 8,000-12,000 บาท
  • 100 ยูนิต: ราคาประมาณ 17,000-20,000 บาท

3. Allergan

Allergan โบท็อกซ์ระดับพรีเมียมจากสหรัฐอเมริกา ที่มีส่วนประกอบสำคัญคือ Onabotulinumtoxin A ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยนับเป็นแบรนด์แรกที่ได้รับการอนุมัติจาก USFDA ให้ใช้ในการรักษารอยขมวดคิ้ว จนเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้โบท็อกซ์ในวงการความงาม ผลิตโดยบริษัท Allergan ผู้นำด้านความงามระดับโลกจากอเมริกา ซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ชั้นนำมากมาย เช่น ฟิลเลอร์ Juvederm และเทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting

คุณสมบัติเด่น

  • ผลิตภัณฑ์มีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5%
  • มีโอกาสดื้อยาต่ำ
  • ออกฤทธิ์แม่นยำ ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ
  • มีความน่าเชื่อถือสูง
  • อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน

ข้อจำกัด

  • ราคาสูงที่สุดในตลาด

เหมาะสำหรับ

  • การฉีดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า และการฉีดกราม 

ราคา

  • 50 ยูนิต: ราคาประมาณ 15,000-20,000 บาท
  • 100 ยูนิต: ราคาประมาณ 25,000-35,000 บาท
วิธีเช็กโบท็อกซ์เกาหลีแท้ ทำได้อย่างไร

วิธีเช็กโบท็อกซ์เกาหลีแท้ ทำได้อย่างไร

การตรวจสอบความแท้ของโบท็อกซ์เกาหลีสำคัญมาก เนื่องจากพบการลักลอบจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปลอมในตลาดค่อนข้างมาก เพื่อความปลอดภัยในการรักษา ควรสังเกตรายละเอียดสำคัญ ดังนี้

  • ตรวจสอบเลขทะเบียน อย. ที่ระบุบนกล่องผลิตภัณฑ์
  • เอกสารกำกับยาต้องมีภาษาไทย
  • เลข Lot. บนกล่องและขวดยาต้องตรงกัน
  • ลักษณะตัวยาที่ถูกต้องจะเป็นผงเคลือบอยู่ที่ก้นขวด โดยไม่มีน้ำผสมอยู่
  • บางผลิตภัณฑ์มี QR Code สำหรับตรวจสอบความแท้
  • สามารถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากบริษัทผู้จัดจำหน่ายโดยตรง
ฉีดโบท็อกซ์แต่ละจุด ควรฉีดกี่ยูนิต?

ฉีดโบท็อกซ์แต่ละจุด ควรฉีดกี่ยูนิต?

โดยทั่วไปแล้ว โบท็อกซ์ 1 ขวดจะมีขนาดตั้งแต่ 50 ยูนิต 100 ยูนิต ไปจนถึง 200 ยูนิตเลย ซึ่งแต่ละตำแหน่งที่ฉีด จะใช้จำนวนยูนิตไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคน จึงควรให้แพทย์เป็นผู้ประเมินความเหมาะสมก่อนฉีดทุกครั้ง ปริมาณการใช้โบท็อกซ์แต่ละบริเวณ (โดยประมาณ) มีดังนี้

  • บริเวณกราม ประมาณ 20 – 35 ยูนิตต่อข้าง
  • บริเวณกรอบหน้า ประมาณ 40 – 80 ยูนิต
  • บริเวณหน้าผาก ประมาณ 12 – 20 ยูนิต
  • บริเวณระหว่างคิ้ว ประมาณ 20 – 35 ยูนิต
  • บริเวณตีนกา ประมาณ 10 – 18 ยูนิต
  • บริเวณรักแร้ (ลดเหงื่อ) ประมาณ 50 – 100 ยูนิต
  • บริเวณกล้ามเนื้อแขน ประมาณ 200 ยูนิต
  • บริเวณกล้ามเนื้อน่อง ประมาณ 200 ยูนิต

ข้อควรระวัง! ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปริมาณที่เหมาะสมก่อนการรักษา เพราะหากใช้ยูนิตมากเกินไปอาจทำให้ใบหน้าตึงผิดธรรมชาติ ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้ การใช้ยูนิตน้อยเกินไป ก็อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ชัดเจน และประสิทธิภาพการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร

ทำไมต้อง ฉีดโบท็อกซ์เกาหลี ที่ DSK Clinic

ทำไมต้อง ฉีดโบท็อกซ์เกาหลี ที่ DSK Clinic 

ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์ขึ้นอยู่กับความมีประสบการณ์ของแพทย์และเทคนิคของแต่ละคลินิก DSK Clinic จึงได้พัฒนาหลักการ Custom Skin Quality ที่เน้นการวิเคราะห์และออกแบบแผนการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อสร้างความแตกต่างและมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้รับบริการแต่ละราย ด้วยความเชื่อที่ว่าการรักษาที่ได้รับการออกแบบเฉพาะบุคคล จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วางแผนการรักษา “เฉพาะบุคคล” 

เทคนิคการรักษาเฉพาะของ DSK Clinic เน้นการวางแผนเพื่อผลลัพธ์สูงสุด ด้วยความเข้าใจว่าแม้จะใช้โบท็อกซ์ยี่ห้อเดียวกัน แต่ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล เนื่องจากสาเหตุของปัญหาผิวที่แตกต่างกัน คลินิกจึงพัฒนาหลักการรักษามา 3 ขั้นตอน ดังนี้

  • Custom Analyze: ที่วิเคราะห์ปัญหาเฉพาะบุคคลอย่างละเอียด เพราะปัญหาที่คล้ายกันอาจต้องการการรักษาที่แตกต่างกัน
  • Custom Planning: ที่วางแผนการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยคำนึงถึงการผสมผสานเครื่องมือและลำดับการรักษาที่เหมาะสม
  • Custom Technique: ที่ปรับเทคนิคการรักษา ทั้งการตั้งค่าพลังงานและวิธีการทำหัตถการ ให้เหมาะสมกับผู้รับบริการแต่ละรายอย่างแท้จริง

แพทย์เฉพาะทางผิวหนังและเลเซอร์

แพทย์ที่ DSK Clinic ประกอบด้วยผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านผิวหนัง และได้รับวุฒิบัตรเฉพาะทางจากสถาบันชั้นนำระดับโลก พร้อมทั้งมีความเชี่ยวชาญพิเศษในด้านผิวหนัง ความงาม และเลเซอร์เฉพาะทาง

ความโดดเด่นของแพทย์ ไม่เพียงแค่มีความรู้ด้านเลเซอร์และความงามเท่านั้น แต่ยังผ่านการศึกษาเฉพาะทางด้านโรคผิวหนัง ทำให้มีฝีมือในการวิเคราะห์และวางแผนการรักษาปัญหาผิวที่มีความซับซ้อน สามารถแยกแยะและวินิจฉัยโรคที่มีอาการคล้ายคลึงกันได้อย่างแม่นยำ เข้าใจว่าปัญหาใดต้องการการรักษาด้วยยา ปัญหาใดต้องใช้เลเซอร์ประเภทไหน และการตั้งค่าพลังงานอย่างไรจึงจะเหมาะสม ไม่ใช่เพียงการใช้เลเซอร์ทั่วใบหน้า แต่มุ่งเน้นการวางแผนการรักษาที่เฉพาะเจาะจงเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

มีการติดตามผลลัพธ์

DSK Clinic ให้ความสำคัญกับการติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินและปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับผู้รับบริการแต่ละราย ด้วยความเชื่อที่ว่าผลลัพธ์ที่ดีของผู้รับบริการคือเป้าหมายสูงสุดในการให้บริการของเรา

รีวิวการฉีดโบท็อกซ์ ที่ DSK Clinic

รีวิวการฉีดโบท็อกซ์ ที่ DSK Clinic
รีวิวการฉีดโบท็อกซ์ ที่ DSK Clinic

สรุป

โบท็อกซ์เกาหลีที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยมี 6 ยี่ห้อหลักๆ ได้แก่ Nabota, Aestox, Neuronox, MBTOX, HUGEL และ BIENOX ทั้งนี้ยังมียี่ห้อ Dysport โบท็อกซ์อังกฤษ XEOMIN โบท็อกซ์เยอรมัน และ Allergan โบท็อกซ์อเมริกา ที่น่าสนใจอีกด้วย

โบท็อกซ์เกาหลี นิยมฉีดบริเวณกราม กรอบหน้า หน้าผาก ระหว่างคิ้ว ตีนกา ใต้ตา รักแร้ แขน และน่อง แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์ในการประเมินจำนวนยูนิตที่เหมาะสมก่อนฉีดด้วย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

หากสนใจฉีดโบท็อกซ์เกาหลี ให้ DSK Clinic เป็นทางเลือกด้วยความโดดเด่นด้านเทคนิคการรักษาที่เน้นรักษาตามปัญหา ‘เฉพาะบุคคล’ 

CTA Pico Laser DSK Clinic

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโบท็อกซ์เกาหลี (FAQs)

เข้าสู่ช่วงถาม-ตอบ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโบท็อกซ์เกาหลี เพื่อคลายข้อสงสัยให้กับหลายคน

โบท็อกซ์เกาหลีต่างจากโบท็อกซ์ประเทศอื่นอย่างไร

โบท็อกซ์เกาหลีโดดเด่นด้วยราคาที่ประหยัดกว่า แม้จะไม่แตกต่างด้านผลลัพธ์ แต่ระยะยาวอาจมีความแตกต่างด้านการดื้อยา ซึ่งการดื้อยาในแบรนด์ยุโรป และอเมริกาจะน้อยกว่า มีความบริสุทธิ์มากกว่า และมีผลลัพธ์ที่แม่นยำกว่า  

โบท็อกซ์เกาหลียี่ห้อไหนดีที่สุด

แบรนด์เกาหลีแบรนด์ที่มีมาตรฐานการผลิตสูงสุดและเป็นแบรนด์เดียวที่ได้ USFDA คือ Nabota

โบท็อกซ์หิ้วคืออะไร ทำไมถึงอันตราย

โบท็อกซ์หิ้ว เป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกนำเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยไม่ผ่านการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานจาก อย. ซึ่งอันตรายมาก เพราะไม่มีการควบคุมอุณหภูมิระหว่างการขนส่ง ทำให้ตัวยาเสื่อมสภาพ อาจมีการปนเปื้อนของสารอันตราย และไม่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาที่แท้จริงได้ 

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น มีตั้งแต่อาการแพ้รุนแรง การติดเชื้อ การดื้อยา ใบหน้าเบี้ยว และในกรณีร้ายแรง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

บทความที่เกี่ยวข้อง

  1. ตอบทุกข้อสงสัย! ฉีดโบช่วยลดริ้วรอยได้อย่างไร และกี่วันเห็นผล
  2. คำถามยอดฮิต! รู้ไว้ซักนิดก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อกซ์
  3. โบท็อกยังน่าทำอยู่ไหม? เลือกฉีดโบท็อกแบรนด์ไหนถึงดี?
  4. หมดปัญหาหน้าใหญ่ กรอบหน้าไม่ชัดไปกับโบท็อกซ์กราม | DSK Clinic
  5. มหากาพย์โบท็อกซ์ (Botox) เลือกฉีดยี่ห้อไหน ประเทศไหนดีนะ?
banner-view-promotion-mobile

วิดีโอเรื่องที่ควรรู้

mock-cover-video-1
เตือนภัย! แฉกลโกงคลินิกเสริมความงาม
ไม่อยากโดนหลอก ต้องดู!

อ่านบทความจากหมอ

banner-consultation-mobile-2x
bg-bt-contact-1-2x
ปรึกษาปัญหาผิวหน้า
ทักแชท Facebook ฟรี
bg-bt-contact-2-2x
แอดไลน์คลินิค
จองคิวทำนัด
bg-bt-contact-3-2x
ติดต่อสอบถาม
โทรเลย
bg-bt-contact-4-2x
ค้นหาสาขาใกล้ตัว
คลิกดูสาขา